เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ส.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาทุกข์ยากหาที่พึ่งกัน แต่ความจริงมันไม่เข้าใจ ความไม่เข้าใจของโลก เห็นไหม ดูอย่างเช่นการปฏิบัติ นี่ความของโลกทำงานเสร็จแล้วมันจะเสร็จสิ้น แต่ทำงานเสร็จสิ้นมันกลับไม่เสร็จ

แต่ทางธรรม เวลาภาวนาไป เวลามันเจอสภาวะแบบนั้นมันปล่อยวางแล้ว...อย่าได้ทิ้งเลยล่ะ อย่าได้ทิ้งว่างานมันเสร็จแล้ว เข้าใจว่างานมันเสร็จแล้วไง แล้วจะทำงานอื่นต่อไป พอทำงานอื่นต่อไปมันไม่สมุจเฉทปหาน พอไม่สมุจเฉทปหานมันก็จะฟื้นกลับมาอีก...ฟื้นกลับมาอีก...แล้วทำยาก ทำยากเพราะอะไร? เพราะคนมันเคย

เหมือนเศรษฐี เศรษฐีเวลามันมีเงินขึ้นมานี่ แล้วเวลาเงินหายไป เวลาล้มละลายไปแล้วเวลาจะฟื้นขึ้นมาฟื้นยากเพราะอะไร? เพราะเคยมีอย่างนั้น แต่ถ้าเราคนจน คนทุกข์คนเข็ญใจ เราก้าวเดินสะสม มี ๕ บาท ๑๐ บาทนี่เราพอใจแล้ว เห็นไหม เราพอใจเงินของเรา เพราะเรามีเงินขึ้นมาเราก็ภูมิใจของเรา

นี่การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราก้าวเดินขึ้นไป มันมีประสบการณ์ต่างๆ ขึ้นไป มันจะมีความสุขมาก มีความพอใจมาก แต่เวลาขณะที่พิจารณาไป ทุ่มแรงเข้าไปนะ จนกว่ามันไปพิจารณาจนมันปล่อยวาง เห็นไหม พอมันปล่อยวาง นี่ตรงนี้ มันพลาดตรงนี้ ตรงที่เข้าใจว่าไง เข้าใจว่างานเสร็จแล้ว พอเข้าใจว่างานเสร็จแล้ว เดี๋ยวมันก็ตีกลับขึ้นมาอีก พอมันตีกลับขึ้นมาอีกนี่ งานที่ควรจะเสร็จมันไม่เสร็จ เห็นไหม งานของโลก มันทำแล้วไม่มีวันจบสิ้น แต่พอเวลาทำเสร็จแล้วมันเข้าใจว่าเสร็จ เสร็จแล้วมันก็ทำต่อไป

เหมือนกันเลย นี่ว่าพอมันเสร็จแล้ว...มันไม่เสร็จ พอมันไม่เสร็จ มันก็ปล่อยข้ามไป.. ปล่อยข้ามไป..นี้พอกิเลสมันตีกลับไง พอกิเลสมันตีกลับมันทำแสนยากเลย ทำแสนยากเพราะอะไร? เพราะว่าสมบัติอันเก่ามันก็คาดว่าเมื่อไหร่จะเป็นอย่างนั้น เมื่อไหร่จะได้อย่างนั้น ก็พยายามคิดปรุงอยู่อย่างนั้น มันก็เลยอันนี้เข้ามากวนใจ การกวนใจ แล้วการกระทำของเรามันก็ยากขึ้นไปอีก พอยากขึ้นไปอีกมันเป็นสองชั้นสามชั้น เลยพัวพันขึ้นไป เลยหาทางออกใหม่ หาทางลัด หาทางจะไปที่จะไปให้ได้ เลยวุ่นวายไปหมดเลย

แต่เราไม่ได้พูดว่าแต่คนอื่นนะ เพราะอะไร? เพราะเรานี้เคยหลงมา เราหลงมา ๒ ปีแรกๆ หลงมาทุกข์ยากมาก เวลามันเจริญแล้วเสื่อม ขึ้นไปทางเหนือนะ แบกกลดแบกบาตรไป เลือดซิบๆ เลยนะ ไหล่นี้เลือดซิบๆ เลย ไม่มีทางไป แล้วจะไปยังไรวะ จะไปข้างหน้าก็ไปไม่ถูก จะไปข้างหลังก็ถอยหลังไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ยากมาก แล้วพอไปเจออาจารย์จวน ลูบหัว เห็นไหม

“นี่กิเลสอย่างหยาบมันสงบตัวลง กิเลสอย่างกลางไม่เคยเห็นมันเลย...”

กิเลสอย่างหยาบ เห็นไหม ความสงบของใจ ใจทำความสงบได้ แต่วิปัสสนาไม่เป็น พอวิปัสสนาไม่เป็นมันก็เสื่อมไป พอพยายามทำเข้าไป ถึงว่าพอทำเข้าไป พอมันไปเห็นจิต เห็นจิต อ้าว! ไหนว่าเป็นนามธรรมไง? ไหนว่ามันไม่มีไง? มันไม่มีทำไมมันจับต้องของเราได้ล่ะ? เราจับต้องได้มันต้องมีสิ เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมจริงอยู่ แต่มี แต่จับต้องได้ จับต้องได้ด้วยใจจากใจ ด้วยนามธรรมจับนามธรรม

พอจับต้องได้ปั๊บ! มันไม่ไปไหนนะ มันพยายามเอาหัวชนฝาอยู่ตรงนั้น พยายามวิปัสสนา พยายามทำอยู่อย่างนั้น ทำอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เพราะมันเข็ดตรงที่ว่าเราเคยพลาดมาแล้ว ว่าแต่ว่าตรงนั้นหลงตรงนี้หลงนะ เราไม่เคยหลงเหรอ...เรานี้หลงมาก หลงมหาศาลเลย หลงจนว่าจนทุกข์ยากแสนทุกข์ยาก มันถึงเห็นใจคนที่หลงทุกข์ยาก พอเห็นทุกข์ยาก กลับมาซ้ำตรงนั้น ซ้ำไปๆ จนถึงที่สุดมันขาดได้ พอมันขาดไป เห็นไหม นี่มุมกลับ พอขาดแล้วจบสิ้น ขาดแล้วขาดเลย ขาดแล้วไม่ต้องฟื้นอีก ไม่กลับมาเกิดอีก มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน

แต่งานของโลก เห็นไหม เสร็จแล้วก็เข้าใจว่าเสร็จแล้ว พอเสร็จแล้วมันก็เสร็จ ไม่คิดว่าเสร็จแล้วต้องทำใหม่ อย่างเช่นประกอบรถอย่างนี้ ประกอบขึ้นมาเสร็จคันหนึ่งแล้ว มันก็ประกอบใหม่เป็นคันที่สอง คันที่สาม แต่มันก็ประกอบเพื่อความชำนาญ คนที่ประกอบนั้นคนนั้นชำนาญขึ้นไปเรื่อยๆ ไอ้รถมันก็ส่วนรถ รถมันประกอบแล้วมันมีตัวตน เป็นรถที่มันไม่มีที่จอด

แต่วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาการทำของใจนี่ เวลามันขาดขึ้นมาแล้วมันเป็นนามธรรม ขาดแล้วก็แล้วกัน เหมือนสมบัติ เหมือนการศึกษาเล่าเรียน วิชาความรู้นี้ไม่ต้องมีที่เก็บ ไม่ต้องมีที่เก็บนะ มันเป็นทรัพย์อยู่ในใจทั้งหมด นี้ก็เหมือนกัน ประสบการณ์ของใจ มันประสบการณ์มากเข้าๆ จนมันชำนาญเข้า พอมันชำนาญเข้าคือว่ากิเลสมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ใจหมายถึงว่าอยู่ที่ความรู้สึกอันนั้น พอความรู้สึกอันนั้นมันชำนาญตัวเข้าไป...ชำนาญตัวเข้าไป...มันทำลายตัวมันเอง...ทำลายตัวมันเองนะ ทำลายตัวมันเองจนมันหลุดออกไป พอหลุดออกไปนั้นน่ะเป็นอกุปปธรรม ถ้ามันจะเสร็จๆ ตรงนี้

นี่โลกกับธรรม โลกนี้พึ่งไม่ได้ พึ่งได้เป็นแค่อาศัยชั่วคราว อาศัยชั่วคราวนะ เราจะมีเงินทองมหาศาล เราจะอยู่ในกองเงินกองทอง เรารักษากองเงินกองทองขนาดไหนเราก็ต้องพลัดพรากจากอันนั้นไป กองเงินกองทองไม่ต้องพลัดพรากจากเราหรอก เราต้องพลัดพรากจากมันไป เพราะเราต้องตายไปแน่นอน เรานี้ต้องตายไป ต้องแปรสภาพไป ต้องเป็นอนิจจัง ต้องหมุนไปตามวัฏฏะ นี่เราต้องแปรสภาพไป ต้องหมุนออกไป แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเราจริงไหม?

มันเป็นประโยชน์กับเราชั่วคราว สิ่งที่เราอาศัยชั่วคราวเราก็อาศัยนะ อยู่กับเราเราก็ใช้มันไป มันถึงที่ว่ามันพลัดพรากออกไป เราก็ไม่เสียใจ ไม่ไปทุกข์ร้อนกับมัน เพราะเราเข้าใจมันตามความเป็นจริงแล้ว เห็นไหม

เราถึงว่า สิ่งที่เราจะพึ่งได้จริงเราถึงแสวงหากันไง บุญกุศลนี่พึ่งได้ พึ่งได้ส่วนหนึ่ง บุญกุศลเป็นอามิส ที่เราทำบุญกุศลแล้วนี่มันจะพึ่งได้ เพราะว่าเราทำแล้วมันซับลงที่ใจ ซับลงที่ใจเป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์นี้อยู่ในหัวใจ แล้วเข้าใจตลอดไปว่าสิ่งนี้เรากระทำแล้วเรากระทำแล้ว สิ่งที่เรากระทำแล้วเราระลึกได้ ระลึกได้ เห็นไหม ขณะที่เราระลึกได้ มันก็มีความสุขมีความอุ่นใจว่าเรามีเสบียง เราไปไหนเราจะไม่ตกทุกข์ได้ยาก เราพอมีความเห็นของเราไป มันเป็นไปได้หรอก

คนเรามีบุญกุศลนะ ถึงที่สุดแล้วจะมีคนคอยช่วยเหลือนะ ถึงที่สุดแล้ว วิกฤติแล้ว มันจะผ่านพ้นไปได้ วิกฤติขนาดไหนมันก็จะผ่านพ้นไปได้ บุญกุศลมันเป็นไป เวลากิเลสมันคิด เราเบียดเบียนเขาไว้นี่ เราจะไม่ยอมแพ้เขา เราโกงเขาไว้ เราลักขโมยเขาไว้แล้ว เราจะไม่ให้ใครมาลักของเราเลย เราจะสงวนรักษาของเรา นี่เวลาคิดมันคิดได้ไง เวลาเราคิดเราคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นของเรา สิ่งนี้เราจะรักษา ใครจะมาเอาของเราได้ ธรรมะสอนก็สอนไป ธรรมเป็นธรรมไม่เกี่ยวกับเรา เรารักษาของเราเอง นั้นเป็นความคิด

แต่ความจริง เห็นไหม เวลาคนเราเกิดตายเกิดตาย มันมันหมุนเวียนไป มาเกิดเป็นลูก มาเกิดเป็นหลาน มาเกิดเป็นคนใกล้ชิดของเรานี่ มันจำเป็นต้องให้เพราะมันให้ด้วยความรัก ความรักความผูกพันอันนั้นมันให้ออกไปๆ ให้ออกไปโดยที่ว่าไม่รู้ว่ากรรมเก่ากรรมใหม่มันสะสมมาขนาดไหน นี่การกระทำของกรรม กรรมมันจะให้ผลอย่างนั้น มันจะให้ถึงเวลาที่สุดแล้วเราก็ต้องมีความเมตตาสงสาร นี่กรรม เห็นไหม

ถึงว่าเวลาเราเกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาตินี่ มันหมุนเวียนไปโดยกระแสของกรรม นี่คู่เวรคู่กรรม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่สร้างคู่สม มันเป็นไป มันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน มันเวียนไปเจอสภาวะแบบนั้น ถ้าเจอสภาวะแบบนั้น นั่นน่ะสิ่งที่เกิดขึ้นมากับเราที่ปัจจุบันนี่ เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้นเลย เกิดจากมือ เห็นไหม

กรรมของเราที่เราสร้างสมมานี่เราสร้างสมขึ้นมา เราสร้างสมขึ้นมาแล้วมันก็ให้ผลกับเรา เราถึงว่าเราทำของเรา แต่ขณะที่ทำธรรมะสอนสอนตรงนี้ สอนให้มีสติสัมปชัญญะ สอนให้มีการตั้งตัวให้ดี แล้วทำอะไรสิ่งใดๆ มีความตั้งใจ แล้วสิ่งที่ผิดพลาดเราจะพยายามไม่ทำมัน สิ่งที่ผิดพลาดเป็นไป นั่นน่ะปัจจุบันธรรมมันดีไปตลอดๆ แก้อยู่ตรงนี้ สิ่งที่แล้วๆ มาให้มันเป็นอดีตไป สิ่งที่เป็นอดีตวางไว้ เพราะเราแก้ไขไม่ได้

แต่ปัจจุบันเราต้องแก้ไขได้ อนาคตไปจากอดีต นี่อนาคตนี้ไปจากเรา ถ้าเราสร้างคุณงามความดี อนาคตมันต้องเป็นความดี วันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ดี วันนี้เป็นหนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องคิดถึงหนี้ เห็นไหม วันนี้เราปลดเปลื้องหนี้ได้แล้ว พรุ่งนี้มันก็มีความสบายใจ วันนี้ปัจจุบันนี้ อนาคตไม่ต้องคาดหมายมากเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ ขอให้สร้างปัจจุบันนี้ให้ดี ถ้าปัจจุบันนี้ดี นั่นน่ะปัจจุบันนี้ดี มันก็สร้างสมไปดี วันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ดี

นี่เราเกิดขึ้นมา เห็นไหม เวลาตอนเช้าขึ้นมาอากาศดี ตอนเช้านี่อากาศดี เราเกิดขึ้นมาเป็นเด็กเล็กมีความสุขมาก มีความพอใจของเรามาก พอเริ่มมีวัยกลางคน เห็นไหม เที่ยง พอเที่ยงขึ้นมาแดดมันร้อน เราต้องหาที่หลบพัก นี่เวลาเราทำงานเหมือนกัน วัยของคนทำงาน วัยของคนกำลังหาอยู่หากิน มันต้องพยายามทำขึ้นมาเพื่อถึงเวลาแก่เฒ่า เวลาแก่เฒ่าขึ้นมา เห็นไหม เวลาตอนเย็น เวลาตอนเย็นมันควรจะสุขมันควรจะสบาย คนแก่ คนเฒ่าเขาวิตกกังวลไปหมดเพราะอะไร? เพราะใจไม่มีที่พึ่ง ใจไม่มีที่พัก ถ้าคนแก่คนเฒ่าใจมีที่พัก เห็นไหม

ลูกทุกคนรักพ่อรักแม่นะ แต่อยู่ใกล้พ่อแม่จะบ่นว่ารำคาญพ่อแม่ พ่อแม่นี้บ่นมากคิดมาก พูดมาก แต่อันนั้นมันเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตไง ประสบการณ์ชีวิต...หนึ่ง สอง...ตัวเองถึงเวลาเย็นแล้ว พระอาทิตย์มันจะตกแล้วกังวลห่วงไปหมดเลย จะกังวลห่วงเรื่องต่างๆ ไป แล้วสิ่งนี้มันจะแสดงออกไปข้างนอก นั่นน่ะพ่อแม่เป็นอย่างนั้น คนแก่คนเฒ่าเป็นอย่างนั้น แล้วคนที่ว่าคนที่เป็นเด็กหรือว่าคนที่วัยกลางคนนี่ มันกำลังประมาทในชีวิตไง สิ่งที่ประมาทในชีวิต เวลาเรายังเหลืออีกมาก เวลายังเหลืออีกยาวไกล มันก็เลยนอนใจ

นี่วุฒิภาวะวัยวุฒิมันต่างกันอย่างนี้ มันถึงมีการขัดกันในครอบครัว สิ่งนี้ขัดกันในครอบครัว เห็นไหม ความเห็นต่างๆ มันต่างกันอย่างนั้น ใจมันพัฒนาขึ้นมาแล้วมันก็จะมีความเห็นต่างๆ อย่างนั้น แล้วก็จะจี้ไปไง แต่ว่าถ้าความเห็นของธรรม รู้ด้วย รู้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดด้วย รู้อาการของใจด้วย รู้ว่าพูดออกไปเขาจะมีความพอใจไม่พอใจด้วย

แต่...แต่ถ้าเป็นครูเป็นอาจารย์กัน เขาจะพอใจหรือไม่พอใจต้องกระหนาบเลย กระหนาบคือว่าให้เขารู้สึกตัวไง พูดจี้ลงไปที่ใจดำ การแสดงธรรมนี้มันแสดงธรรมเพื่อการจี้ถึงใจดำนะ เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ ถ้าฟังธรรมแล้วมันสะเทือนหัวใจนะ นั้นน่ะถูกต้อง มันสะเทือนหัวใจมันหวั่นไหวนะ ใจนี้มันจะหวั่นไหวไปหมดเลย มันจะสะเทือนใจมากเพราะอะไร? เพราะกระแสของธรรมมันเข้าถึง

ถ้าเราฟังสักแต่ว่านะ ฟังว่าเขาว่าคนโน้น เขาว่าคนนี้ เขาไม่ได้ว่าเรานะ มันไม่สะเทือนถึงธรรมเลย ถ้ามันไม่สะเทือนถึงหัวใจมันไม่สะเทือนถึงกิเลส ถ้าว่าเราน้อมเข้ามาว่าเรา ว่าเป็นกิเลสของเรา ขัดกิเลสของเรา ขัดใจเรา ขัดเกลากิเลสของเรา มันจะน้อมเข้ามาที่ใจ ถ้ามันน้อมมาที่ใจมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับผู้ฟัง นี่การฟังธรรม กิเลสมันอยู่ที่ใจ

การประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่ใจ ถ้าครูอาจารย์กันถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ครูไม่ใช่อาจารย์กันก็จะไม่พูด จะปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง เพราะสัตว์โลกเป็นแบบนั้น โลกเขาเป็นแบบนั้น เป็นกันอยู่อย่างนั้น มันหยาบมันปกครองไปด้วยกิเลส กิเลสมันมีอำนาจเหนือดวงใจทุกดวงใจ ทุกดวงใจนะ ดวงใจของเขาในหัวใจนั้นมีกิเลสปกคลุมอยู่ แล้วเขาแสดงออกของเขาอย่างนั้นโดยเขาไม่รู้สึกตัว แล้วเราไปรื้อเบื้องหลัง เบื้องหลังคือกิเลสมันบังคับใช้ความคิดเขาออกมา แล้วใครมันจะรู้ได้ ใครมันจะยอมรับสิ่งนั้น

โลกถึงว่าไม่เข้าใจเรื่องของธรรมไง ผู้ที่มาวัดมาวานี้เป็นผู้ที่มีปัญหาทั้งนั้น เวลานอนสุมอยู่กับของเขาอยู่ในกิเลส เขาบอกว่าเขามีความสุขของเขา ผู้ที่จะชำระกิเลสว่าผู้ที่มีปัญหา มีปัญหามันกลับดีกว่า ดีกว่าเพราะว่าเป็นคนไข้ไง คนไข้ถ้ายอมรับว่าเป็นไข้ มันจะรักษา คนไข้ที่เป็นไข้ เห็นไหม เป็นโรคของกิเลสควบคุมใจ เป็นโรคของกิเลสปกครองใจ โรคของกิเลส โรคของวัฏวน มันปกคลุมหัวใจอยู่ แต่มันไม่เข้าใจว่าตัวเป็นโรค เพราะเราปฏิเสธว่าโลกนี้ไม่มี ตายแล้วตายสูญ ตายแล้วจะไม่มาเกิดอีก ทำแต่ปัจจุบันนี้ ตายแล้วก็ตายกัน การประพฤติปฏิบัติต้องพยายามสะสมขึ้นมาก่อน เห็นไหม

ว่าจะเข้าวัดเข้าวา ต้องให้เรามีฐานะก่อน...ฐานะเมื่อไหร่มันจะพอ หัวใจนี้ขาดอยู่เป็นนิจ นี่มันพร่องอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันจะมากมายขนาดไหนมันก็ไม่มีวันพอ ถ้าเราไม่วางซะ ถ้าเราวางซะ หน้าที่การงานเป็นหน้าที่การงาน ถึงเวลาแล้วเราต้องพยายามปฏิบัติของเรา ถึงเวลาแล้วเราต้องหาที่พึ่งของเราที่เป็นสมบัติธรรม ถ้าเป็นสมบัติธรรมของหัวใจขึ้นมานี่ หัวใจมันจะมีที่พึ่ง ถ้าหัวใจมันมีที่พึ่งมันจะพึ่งใคร นี่หัวใจมันไม่มีที่พึ่ง หวังพึ่งคนอื่น หวังพึ่งสัตว์โลก หวังพึ่งทั่วๆ ไป พอหวังพึ่งกันไปแล้วมันก็พึ่งไม่ได้ ตัวเองยังพึ่งไม่ได้เลย

สัจธรรมเกิดมาแล้วตายหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องตายไป แต่ตายไปด้วยที่ว่าไม่เกิดอีก เห็นไหม แล้วครูบาอาจรย์ก็ทำตามๆ กันไป แล้วเป้าหมายเราคืออะไร ถ้าเป้าหมายเราทำได้ มันจะเป็นสมบัติของเรา นี้ว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ถึงที่สุดแห่งวิมุตติ ทางเราก็กว้าง ทางเราก็อยู่ไกล เราก็ต้องเดินไปไกล ถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ขอให้มีกินมีใช้ก็พอ ทำบุญกุศลนี่มีกินมีใช้ เป้าหมายเราก็แคบ เป้าหมายเราก็ตื้น เราก็เดินได้น้อย

นี่เราตั้งเป้าหมายไว้ แล้วจะถึงไม่ถึงนั้นมันเป็นหน้าที่ของเรา นี้คืออธิษฐานบารมี เราตั้งเป้าหมายไว้แล้วเราพยายามเดินไปถึงเป้าหมายได้ ถ้าเราทำกุศลต่อไปไม่หยุดไม่ยั้ง การเดินไปมันต้องถึงเป้าหมาย เราเดินไปก้าวที่หนึ่ง ระยะทางมันก็สั้นไปก้าวหนึ่งแล้ว ก้าวสอง ก้าวสาม ก้าวไปตลอด จนถึงที่สุดได้ ถึงที่เป้าหมายของเรา ถ้าถึงเป้าหมายของเรา เราก็ไม่ต้องมาทุกข์มายาก แล้วจะเข้าใจเรื่องของธรรม เข้าใจพระพุทธเจ้า เข้าใจเรื่องของร่างกาย เรื่องของหัวใจ ความเข้าใจสิ่งนี้หมดแล้วมันก็เข้าใจโลกทั้งหมด ไม่ติดในโลกนี้ เพราะไม่ติดเราก่อน เราก็จะไม่ติดใครเลย เอวัง